…ทรมาน
…ข่มขืน
…บังคับทำแท้ง
…จำคุกโดยไม่พิจารณาคดี
…ปล่อยให้อดอาหารจนต้องกินแมลง
…ประหารชีวิตนอกกระบวนการยุติธรรม
เหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการละเมิดที่เกิดขึ้น “โดยทั่วไป” ในเรือนจำและสถานกักกันอื่น ๆ ในแดนสนธยาอย่างประเทศเกาหลีเหนือ ที่อดีตผู้ต้องขังหลายรายนำมาเปิดเผยต่อ Korea Future องค์กรเฝ้าระวังด้านสิทธิมนุษยชน
Korea Future ได้จัดทำรายงานเปิดเผย “รายละเอียดที่ชัดเจนที่สุดของชีวิตในระบบทัณฑสถานของประเทศเกาหลีเหนือ” โดยนำข้อมูลจากการสัมภาษณ์ผู้รอดชีวิต พยาน และผู้กระทำความผิดหลายร้อยคนที่หลบหนีออกจากประเทศ ประกอบเข้ากับเอกสารทางการ ภาพถ่ายดาวเทียม การวิเคราะห์ทางสถาปัตยกรรม และการสร้างแบบจำลองเรือนจำทั้ง 206 แห่งทั่วเกาหลีเหนือ
เกาหลีเหนือทดสอบ “โดรนนิวเคลียร์ใต้น้ำ” อ้างสร้าง “สึนามิกัมมันตรังสี” ได้
เกาหลีเหนืออ้าง มีพลเรือนกว่า 8 แสนคนอาสาไปสู้รบกับสหรัฐฯ
วิจัยจีนประเมิน ขีปนาวุธเกาหลีเหนือยิงไปสหรัฐ ใช้เวลาแค่ครึ่งชั่วโมง คำพูดจาก สล็อตเว็บตรง
คิม จีวอน เจ้าหน้าที่สอบสวนของ Korea Future ซึ่งมุ่งเน้นการศึกษาปัญหาสิทธิมนุษยชนในเกาหลีเหนือ กล่าวว่า “จุดประสงค์ของรายงานนี้คือ การเปิดเผยการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นในระบบการลงโทษของเกาหลีเหนือ เราพบว่าแม้จะผ่านมา 10 ปีหลังจากที่สหประชาชาติจัดตั้งคณะกรรมาธิการสอบสวน ก็ยังคงมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างเป็นระบบและแพร่หลายในเกาหลีเหนืออยู่ดี”
รายงานระบุว่า พบการทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรีมากกว่า 1,000 ครั้ง การข่มขืนและความรุนแรงทางเพศรูปแบบอื่นๆ หลายร้อยกรณี และอีกกว่า 100 คดีที่เป็นการละเมิดสิทธิในการมีชีวิต
“ระบบการลงโทษของเกาหลีเหนือไม่ใช่การกักขังและฟื้นฟูเยียวยาผู้ถูกตัดสินโทษในสถานที่ที่ปลอดภัยและมีมนุษยธรรม และไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อลดการกระทำผิดซ้ำและเพิ่มความปลอดภัยสาธารณะ … มันคือการแยกบุคคลที่มีพฤติกรรมขัดแย้งกับการสนับสนุนอำนาจของผู้นำสูงสุด คิม จอง อึน ออกจากสังคม” รายงานระบุ
Korea Future ยังอ้างว่า มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงระดับนายพลใหญ่เป็นผู้กระทำการล่วงละเมิดด้วยตัวเองด้วย
รายงานได้ยกตัวอย่างเคสชวนสลดที่เกิดขึ้น เช่น ชาวเกาหลีเหนือ 3 คนที่ถูกจำคุกหลังจากพยายามหนีข้ามพรมแดน
หนึ่งในนั้นเป็นหญิงตั้งครรภ์ 7-8 เดือนที่ถูกบังคับให้ทำแท้ง อีกคนหนึ่งเป็นชายที่ได้รับอาหารเป็นข้าวโพดเพียง 80 กรัมต่อวัน จนต้องกินแมลงสาบกับหนูในเรือนจำเป็นอาหาร ทำให้น้ำหนักของเขาลดลงจาก 60 กิโลกรัมเหลือ 37 กิโลกรัม ในเวลาแค่เดือนเดียว ส่วนคนที่สามถูกบังคับให้อยู่ในท่าทางที่ลำบากนานถึง 17 ชั่วโมงต่อวันเป็นเวลา 30 วัน
อดีตผู้ต้องขังอีกรายหนึ่งเล่าว่า เธอถูกควบคุมตัวเป็นเวลาไม่ถึงปีในปี 2015 หลังจากร้องเรียนกับเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับสถานการณ์ที่อยู่อาศัยของเธอ โดยเปรียบว่าเธอได้รับการปฏิบัติเหมือนกับสัตว์
“เมื่อเราเลี้ยงกระต่าย เราจะขังมันไว้ในโพรงที่มีรั้วกั้นและให้อาหารพวกมัน มันเหมือนกับว่าเราเป็นกระต่าย ถูกขังไว้ในห้องขังและให้อาหารผ่านลูกกรง … เราไม่ได้รับการปฏิบัติเหมือนมนุษย์ แต่เหมือนเป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง” เธอบอก โดยอาหารที่ได้เป็นข้าวโพดผสมกับรำข้าว ซึ่งเป็นอาหารสัตว์
เธอเสริมว่า “ทั้งหมดนี้เป็นหญ้าและไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ คุณจะรู้สึกหิวโดยที่คุณไม่รู้สึกถึงอาหารที่อยู่ในท้องของคุณด้วยซ้ำ … สารอาหารทั้งหมดในร่างกายของคุณจะหมดไป คุณจะดูเหมือนโครงกระดูกก่อนที่จะตาย … ฉันไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นมนุษย์ ฉันคิดว่าความตายมันคงจะดีกว่าที่จะต้องอยู่แบบนั้น”
ความคิดดังกล่าวบ่อยครั้งมักติดออกมากับตัวผู้ต้องขังหลังพ้นโทษออกมาด้วย เจมส์ ฮีแนน ผู้แทนสำนักงานสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติในกรุงโซล กล่าวว่า ผู้หลบหนีจำนวนมากไม่มีแนวคิดเรื่องสิทธิมนุษยชน หนึ่งในขั้นตอนแรกในการช่วยเหลือพวกเขาคือการให้ความรู้แก่พวกเขา เพื่อให้พวกเขารับรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเขาคือการละเมิด
“พวกเขาคิดว่า ‘ฉันถูกเฆี่ยนตีเพราะฉันสมควรได้รับมัน’ ดังนั้น ประเด็นความรู้เรื่องสิทธิมนุษยชนจึงเป็นประเด็นสำคัญ” ฮีแนนกล่าว
รายงานดังกล่าวนี้ของ Korea Future สอดคล้องกับผลการสอบสวนล่าสุดโดยองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ซึ่งรวมถึงรายงานที่เสนอต่อคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติในสัปดาห์นี้โดยเจ้าหน้าที่พิเศษ เอลิซาเบธ ซัลมอน ซึ่งกล่าวว่าผู้หญิงที่ถูกคุมขังในค่ายกักกันทางการเมืองตกเป็นเหยื่อการทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้าย โดยมีการบังคับใช้แรงงานและความรุนแรงทางเพศโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาเกาหลีเหนือมักปฏิเสธข้อกล่าวหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนทั้งในเรือนจำหรือที่อื่น ๆ โดยมักอ้างว่าข้อกล่าวหาเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนการต่อต้านเกาหลีเหนือที่บงการโดยสหรัฐฯ
ในสัปดาห์นี้ เกาหลีเหนือได้ออกแถลงการณ์ว่า “ขอประณามและปฏิเสธข้อกล่าวหาอย่างเด็ดขาด … การที่ประเทศดังกล่าวยกประเด็นเกี่ยวกับสถานการณ์ ‘สิทธิมนุษยชน’ ของประเทศอื่นนั้นถือเป็นการเยาะเย้ยและดูหมิ่นสิทธิมนุษยชนอย่างแท้จริง”
เรียบเรียงจาก CNN
ภาพจาก AFP